หน่วยที่ 4 จิตวิทยาการเรียนการสอน
จิตวิทยาการเรียนการสอน
ความหมาย
“จิตวิทยา”เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต
โดยศึกษาว่าสิ่งเหล่านี้ได้อิทธิพลอย่างไรจากสภาวะทางร่างกาย สภาพจิตใจและสิ่งแวดล้อมภายนอก
แนวทางในการศึกษา
จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษาการเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอน
พร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน
ความรู้ที่อยู่ในขอบข่ายการเรียนการสอน
1.
ความรู้เรื่องพัฒนาการมนุษย์
2.
หลักการของการเรียนรู้และการสอนประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้และการเรียนรู้ชนิดต่างๆ
3.
ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่มีผลต่อการเรียน
4.
การนำเอาหลักการและวิธีการเรียนรู้ไปใช้ในการ
แก้ปัญหาการเรียนการสอน
จุดมุ่งหมายของการนำจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
ประการแรก มุ่งพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ในสถานการณ์การเรียนการสอน
ประการที่สอง นำเอาองค์ความรู้ข้างต้นมาสร้างรูปแบบเชิงปฏิบัติเพื่อครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
หลักการสำคัญ
1.
มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอน
2.
มีความสามารถในการประยุกต์หลักการจิตวิทยาเพื่อการเรียนการสอน
3.
มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่
4.
มีเจตคติที่ดีต่อผู้เรียน
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
-
ทำให้รู้จักลักษณะนิสัยของผู้เรียน
-
ทำให้เข้าใจพัฒนาการบุคลิกภาพบางอย่างของผู้เรียน
-
ทำให้ครูเข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล
-
ทำให้ครูทราบว่ามีองค์ประกอบใดบ้างที่มีผลกระทบต่อสัมฤทธิ์ทางการเรียนเช่น
แรงจูงใจ ความคาดหวัง เชาวน์ปัญญา ทัศนคติ ฯลฯ
ความสำคัญของจิตวิทยาการเรียนการสอน
-
ทำให้ครูทราบทฤษฎี หลักการเรียนรู้ รวมทั้งหลักการสอนและวิธีการสอน
-
ทำให้ครูวางแผนการสอนได้อย่างเหมาะสม
-
ทำให้ครูจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนได้สอดคล้องกับพัฒนาการ รวมทั้งสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนที่เอื้อต่อการปกครองชั้นเรียน
(สุวรี, 2535)
การเรียนรู้
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิต
สิ่งมีชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนตาย
สำหรับมนุษย์การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์โลก
อื่น ๆ ดังพระราชนิพนธ์บทความของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา
ฯ ที่ว่า
"สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ก็เพราะว่า คนย่อมมีปัญญา
ที่จะนึกคิดและปฏิบัติสิ่งดีมีประโยชน์และถูกต้องได้ . "
การเรียนรู้ช่วยให้มนุษย์รู้จักวิธีดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพการต่างๆ ได้
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์จะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จและความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์ด้วย
การเรียนรู้
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิต
สิ่งมีชีวิตไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนตาย สำหรับมนุษย์การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาให้มนุษย์แตกต่างไปจากสัตว์โลก
อื่น ๆ
ดังพระราชนิพนธ์บทความของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ฯ ที่ว่า
"สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ก็เพราะว่า คนย่อมมีปัญญา
ที่จะนึกคิดและปฏิบัติสิ่งดีมีประโยชน์และถูกต้องได้ . "
การเรียนรู้ช่วยให้มนุษย์รู้จักวิธีดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพการต่างๆ ได้
ความสามารถในการเรียนรู้ของมนุษย์จะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จและความพึงพอใจในชีวิตของมนุษย์ด้วย
การเรียนรู้มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
๑. การเรียนรู้เป็นกระบวนการ
การเกิดการเรียนรู้ของบุคคลจะมีกระบวนการของการเรียนรู้จากการไม่รู้ไปสู่การเรียนรู้
๕ ขั้นตอน คือ
......๑.๑ มีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล
......๑.๒ บุคคลสัมผัสสิ่งเร้าด้วยประสาททั้ง ๕
......๑.๓ บุคคลแปลความหมายหรือรับรู้สิ่งเร้า
......๑.๔ บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้
......๑.๕ บุคคลประเมินผลที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
การเรียนรู้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งเร้า (Stimulus) มากระตุ้นบุคคล ระบบประสาทจะตื่นตัวเกิดการรับสัมผัส (Sensation) ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ แล้วส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อแปลความหมายโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเป็นการรับรู้
(Perception)ใหม่ อาจสอดคล้องหรือแตกต่างไปจากประสบการณ์เดิม
แล้วสรุปผลของการรับรู้นั้น เป็นความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Concept) และมีปฏิกิริยาตอบสนอง (Response) อย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้า
ตามที่รับรู้ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแสดงว่า เกิดการเรียนรู้แล้ว
๒. การเรียนรู้ไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้อาศัยวุฒิภาวะ
วุฒิภาวะ คือ
ระดับความเจริญเติบโตสูงสุดของพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญาของบุคคลแต่ละวัยที่เป็นไปตามธรรมชาติ
แม้ว่าการเรียนรู้จะไม่ใช่วุฒิภาวะแต่การเรียนรู้ต้องอาศัยวุฒิภาวะด้วย
เพราะการที่บุคคลจะมีความสามารถในการรับรู้หรือตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีวุฒิภาวะเพียงพอหรือไม่
๓. การเรียนรู้เกิดได้ง่าย ถ้าสิ่งที่เรียนเป็นสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน
.....การเรียนสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียน คือ
การเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะเรียนหรือสนใจจะเรียน
เหมาะกับวัยและวุฒิภาวะของผู้เรียนและเกิดประโยชน์แก่ผู้เรียน
การเรียนในสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียนย่อมทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนในสิ่งที่ผู้เรียนไม่ต้องการหรือไม่สนใจ
๔. การเรียนรู้แตกต่างกันตามตัวบุคคลและวิธีการในการเรียน
.....ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน
บุคคลต่างกันอาจเรียนรู้ได้ไม่เท่ากันเพราะบุคคลอาจมีความพร้อมต่างกัน
มีความสามารถในการเรียนต่างกัน มีอารมณ์และความสนใจที่จะเรียนต่างกันและมีความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเรียนต่างกัน
ในการเรียนรู้สิ่งเดียวกัน ถ้าใช้วิธีเรียนต่างกัน
ผลของการเรียนรู้อาจมากน้อยต่างกันได้
และวิธีที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้มากสำหรับบุคคลหนึ่งอาจไม่ใช่วิธีเรียนที่ทำให้อีกบุคคลหนึ่งเกิดการเรียนรู้ได้มากเท่ากับบุคคลนั้นก็ได้
แนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ
(Concepts
of Developmental Psychology)
...........จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัยของมนุษย์เป็นศาสตร์ที่มีความสลับซับซ้อน
จากการที่ต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ในลักษณะองค์รวม
ทั้งที่สามารถมองเห็นได้ง่าย ชัดเจน และมองเห็นได้ยาก ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม
การเรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยาพัฒนาการถือเป็นเรื่องสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษา
ช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจลักษณะธรรมชาติของมนุษย์
ลำดับขั้นพัฒนาการชีวิตในช่วงวัยต่าง ๆ
ตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต และทราบถึงองค์ประกอบต่าง ๆ
ที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย ส่งผลให้ผู้ศึกษาเกิดการยอมรับ
เข้าใจตนเองและผู้อื่น เข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
สามารถปรับตัวให้เข้ากับบุคคลในวัยต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
ตลอดจนสามารถช่วยเหลือบุคคลวัยต่าง ๆ ในแนวทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
การรับรู้
คือ การสัมผัสที่มีความหมาย หรือการรู้ รู้สึกสิ่งต่างๆ สภาพต่างๆ
ที่เป็นสิ่งเร้ามาทำปฎิกิริยากับตัวเราเป็นการแปลอาการสัมผัสให้มีความหมายขึ้นเกิด
ซึ่งเป็นความรู้สึกซึ่งเฉพาะตัวสำหรับบุคคลนั้นๆ
เมื่อมีการรู้สึกเกิดขึ้นจากอวัยวะในการรับความรู้สึกอันได้แก่ ตา หู ปาก จมูก
ผิวหนัง อื่นๆ และถ้าการรู้สึกมีการตีความว่า การรู้สึกที่เกิดขึ้นคืออะไร
นั่นถือว่ามีการรับรู้เกิดขึ้นแล้ว
*****คุณลักษณะของผู้รับรู้*****
1. ประสบการณ์
2. ความตีอาการทางร่างกาย
3. อิทธิพลทางสังคม
*****ลักษณะของความคลาดเคลื่อน คือ*****
1. การเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใด
2. ขนาดสัมพันธ์
3. การเกิดมุมหรือการตัดกันของเส้น
*****องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ มีดังนี้*****
1.ความสมบูรณ์ของอวัยวะรับสัมผัส
2.การแปลความหมาย
3.การใช้ประสบการณ์เดิม
4.ความตั้งใจที่จะรับรู้
5.วัยของผู้รับรู้
พฤติกรรมการเรียนรู้จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้แบ่งเป็น
3 กลุ่ม
1. พุทธนิยม หมายถึง การเรียนรู้ในด้านความรู้ ความเข้าใจ
2. จิตพิสัย หมายถึง การเรียนรู้ด้านทัศนคติ ค่านิยม ความซาบซึ้ง
3. ทักษะพิสัย หมายถึง การเรียนรู้เกี่ยวกับการกระทำหรือปฏิบัติงาน
การเรียนรู้กับการเรียนการสอน
.....ในการสอนที่ดี
ผู้สอนจำเป็นต้องนำทฤษฎีการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน
เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ในการเรียนรู้ ซึ่งสามารถกระทำได้หลายสถานการณ์
เช่น
1. การมีส่วนร่วมในการรับรู้ โดยให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดและไตร่ตรอง
2. การทราบผลย้อนกลับ การให้ผู้เรียนได้รับทราบผลของการทำกิจกรรมต่างๆ
3. การเสริมแรง ทำให้ผู้เรียนมีความภาคภูมิใจ
4. การเรียนรู้ตามระดับขั้น โดยจัดความรู้จากง่ายไปยาก จิตวิทยาพัฒนาการ
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆของมนุษย์ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา
การออกแบบสื่อการเรียนการสอน
การออกแบบสื่อ
องค์ประกอบทีสำคัญในการเรียนการสอน
คือสิ่งที่นำไปประกอบการเรียนการสอน
ลักษณะการออกแบบที่ดี
1. ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับความมุ่งหมายของการนำไปใช้
2. ควรเป็นการออกแบบที่มีลักษณะง่ายต่อการทำความเข้าใจ
การนำไปใช้งานและกระบวนการผลิต
3. ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ
4. ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น
ปัจจัยพื้นฐานของการออกแบบสื่อการสอน
1. เป้าหมายของการเรียนการสอนพฤติกรรมด้านพุทธพิสัย
แสดงว่าได้เกิดความรู้และสามารถอธิบายวิเคราะห์ได้พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย
เป็นทักษะในการเคลื่อนไหวลงมือทำงาน หรือความว่องไวในการแก้ปัญหาพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
แสดงความรู้สึก อารมณ์ที่มีต่อสิ่งที่เรียนรู้และสภาพแวดล้อม
2. ลักษณะของผู้เรียน เนื้อหาและรายละเอียดของสื่อย่อมแปรตามอายุ
และความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
3. ลักษณะแวดล้อมของการผลิตสื่อลักษณะผู้เรียน
- การสอนกลุ่มใหญ่ ในลักษณะการบรรยาย สาธิต
- การสอนกลุ่มเล็ก
- การสอนเป็นรายบุคคลสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้สื่อ
4. ลักษณะสื่อ
- ลักษณะเฉพาะตัวของสื่อ
- ขนาดมาตรฐานของสื่อวิธีระบบกับการออกแบบสื่อการเรียนการสอน
เป็นวิธีการนำเอาผลที่ได้(ข้อมูลย้อนกลับ)จากการผลิตหรือการประเมินผล
มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ระบบการเรียนการสอน
1. เนื้อหาหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม จะต้องมีความสอดคล้องกัน
2. พิจารณาพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้เรียน คือ
ต้องทราบพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียน
3. ขั้นการสอน วิธีการสอน และปัจจัยต่างๆ
ที่ส่งผลให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี
4. การประเมินผล เพื่อตรวจสอบการดำเนินการเรียนการสอน
5. วิเคราะห์ผลและปรับปรุงข้อบกพร่องของระบบการเรียนการสอน
ความสำคัญของจิตวิทยาการศึกษาต่ออาชีพครู
วิชาจิตวิทยาการศึกษาสามารถช่วยครูได้ในเรื่องต่อไปนี้
1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย
ของนักเรียนที่ครูต้องสอน
2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน
3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล
4. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย
5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่าง
ๆ
6. ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน
โดยคำนึงถึงหัวข้อต่อไปนี้
6.1
ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำนึงถึงลักษณะนิสัย
6.2
ช่วยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธีสอนที่เหมาะสม
6.3
ช่วยครูในการประเมินไม่เพียงแต่เฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรียนเท่านั้น
7. ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้
8. ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ
9. ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว
10. ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน
การสร้างสุขภาพจิตที่ดีของครู
ถึงแม้จะมีความพยายามในการพัฒนามากเพียงใด
แต่ครูก็คือ "มนุษย์" คนหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาต่าง ๆ เช่นเดียวกับผู้เรียน
ดังนั้นครูจึงควรจะมีหลักที่ใช้เมื่อเกิดความเครียดในขณะประกอบอาชีพ
หลักนี้เป็นข้อเสนอแนะของไบเลอร์ และสโนว์แมน (Biehler & Snowman, 1993) ซึ่งเขาได้ดัดแปลงบางส่วนมาจากหลักสุขภาพจิตในการสอน (Mental
Hygiene in Teaching) ของฟริดซ์ รีด และวิลเลี่ยม วัตเตนเบริกท์ (Fritz
Redl & William Wattenberg, 1959) หลักดังกล่าวสามารถสรุปได้ดังนี้
1. พัฒนาการรู้จักตนเอง
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าครูมีความเข้าใจและยอมรับตนเองแล้ว
ก็จะเกิดความเข้าใจและยอมรับผู้อื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น
2. ค้นหาทางเลือกใหม่ๆ
ในการสอน ถ้าพบว่า วิธีการต่าง ๆ ที่ เป็นที่นิยมใช้กันนั้นไม่เหมาะสมกับตนเอง
ครูควรจะค้นหาวิธีใหม่ ๆ มาใช้ ให้เหมาะกับตนเอง
3. หมั่นตรวจสอบ
สิ่งที่ตนเองไม่พึงพอใจ
4. ประเมินภาระงานใหม่
ทั้งหมดโดยพยายามขจัดหรือลดภาระงานที่มากเกินไปที่ทำให้เกิดความเครียด
5.ขอคำแนะนำจากผู้อื่นเช่น เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน
หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และมุมมองในการแก้ ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
6. แสวงหาประสบการณ์ใหม่ที่นอกเหนือจากการสอน
เช่น หางานอดิเรกทำ ทำงานพิเศษช่วงฤดูร้อน เข้ารับการสัมมนาในหัวข้อที่สนใจ
เป็นต้น
7. แสวงหาความพึงพอใจจากที่อื่น
ๆ เมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องเรียนไม่เอื้อต่อความสุขของตนเอง เช่น
การรับเชิญไปเป็นวิทยากรพิเศษ หรือการรับเชิญไปสอนพิเศษตามสถาบันต่าง ๆ เป็นต้น
8. พูดคุยกับผู้อื่นเกี่ยวกับปัญหาต่าง
ๆ ของตนเอง ซึ่งจะเป็นการระบายความเครียดได้
9. ออกกำลังกายเมื่อเกิดความเครียด
ทั้งนี้จะได้ประโยชน์โดยการผ่อนคลาย
10.โปรดอย่านำความเครียดมาระบายในชั้นเรียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่านำความเครียดมาระบายกับผู้เรียน
11.ถ้าท่านมีความเครียดมาก
จนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองโปรดขอคำแนะนำจากจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การใช้สมมุติฐานเกี่ยวกับการสอน
ครูทุกคนต้องการให้นักเรียนเรียนรู้
ครูจึงเหมือนนักวิทยาศาสตร์ ที่จะต้องทำการทดลองไปเรื่อย ๆ
โดยตั้งสมมุติฐานเกี่ยวกับการสอนและพยายามพิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่
เป็นต้นว่าครูที่สอนคณิตศาสตร์ที่พบว่ามีนักเรียนเพียง 2-3
คนที่ตั้งใจฟังครูและทำงานที่ครูสั่งได้ ที่เหลือทำอะไรไม่ได้เลย
ถ้าครูสอนไปเรื่อย ๆ โดยไม่เปลี่ยนวิธีสอน ผลก็คือมีคนสอบได้เพียงไม่กี่คน
แต่ถ้าครูใช้สมมุติฐานเกี่ยวกับการสอน
พยายามเปลี่ยนวิธีการสอนโดยอาจจะมีสมมุติฐานว่า
1.ถ้าแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มตามความสามารถทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนและให้งานตามระดับความรู้ของนักเรียนเป็นกลุ่ม
ๆ
2. แบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถทางคณิตศาสตร์
3. ครูให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) ช่วยให้นักเรียนสามารถจะพิสูจน์ตนเองได้ว่าทำได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกข้
ความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์
วิธีสอน และการประเมินผล
ในการศึกษาทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงขั้นมหาวิทยาลัย จะต้องมีเป้าหมายของการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้จัดการศึกษาทราบว่าจะจัดการศึกษาแต่ละอย่างไร
เป็นการศึกษาขั้นอนุบาลจนถึงขั้นมัธยมศึกษา แต่ระดับมหาวิทยาลัย
ทบวงมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้วางเป้าหมายทั่วไป
ต่อจากระดับทั่วไปเป้าหมายการศึกษาแต่ละข้อก็จะถูกนำมาตีความหมายโดยเขียนเป็นจุดประสงค์เฉพาะเพื่อจะได้จัดหลักสูตร
เนื้อหา และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
วัตถุประสงค์เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนการสอนเพราะเป็นเสมือนแผนที่นำทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง
ซึ่งเป็นวัตถุ
ประสงค์ของบทเรียนนั้น
ต่อจากนั้นครูเลือกกิจกรรมที่จะให้นักเรียนทำและเนื้อหาของวิชาที่มีความสัมพันธ์กับวัตถุ
ประสงค์
และเลือกวิธีสอนที่เหมาะสมกับบทเรียนและในที่สุดประเมินผลเพื่อจะดูว่านักเรียนมีความสัมฤทธิผลตามวัตถุ
ประสงค์ที่วางไว้หรือไม่
สรุปแล้วอาจจะเขียนขั้นการเตรียมการสอนได้ดังต่อไปนี้
ขั้นที่
1
ศึกษาวัตถุประสงค์ระยะยาวของวิชาที่สอนแต่ละวิชาและแยกออกเป็นวัตถุประสงค์ของบทเรียนแต่ละบท
หรือหน่วยเรียน
ขั้นที่
2
เขียนวัตถุประสงค์เฉพาะหรือสิ่งที่ต้องการที่จะให้นักเรียนสามารถทำได้หลังจากที่จบบทเรียนแล้ว
ขั้นที่
3 จัดหากิจกรรม
ประสบการณ์และเนื้อหาที่จะให้นักเรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ขั้นที่
4
หาวิธีประเมินผลเพื่อจะได้ทราบว่านักเรียนมีความสัมฤทธิผลตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่
ขั้นที่
5 แจ้งผลให้นักเรียนทราบว่านักเรียนทำได้มากน้อยเพียงไร
และพยายามแนะแนวนักเรียนที่ทำไม่ได้
โดยช่วยนักเรียนหาเหตุผลว่าที่ทำไม่ได้เพราะอะไร
จิตวิทยาการศึกษา
(Educational
Psychology)
.....การศึกษาพยายามที่จะช่วยเหลือคนในการปรับตัวได้อย่างดีที่สุดส่วนจิตวิทยาเป็นศาสตร์
คำนึงเกี่ยวกับการปรับตัวของคนดังนั้นจิตวิทยาการศึกษาจะเป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวของคนไปปฏิบัติจริงเพื่อช่วยเหลือในการปรับตัวดังนั้นหน้าที่สำคัญประการแรกคือการจัดการ
เกี่ยวกับเรื่องการเรียนรู้
การเรียนการสอนซึ่งจะเป็นเรื่องราวทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา อันได้แก่
ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎีพัฒนาการ ลักษณะธรรมชาติผู้เรียน
สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการเรียนรู้ตลอดจนวิธีการนำความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปช่วยในการปรับตัวให้ดีขึ้น
ซึ่งได้กล่าวถึง
ความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับ
บทความนี้จึงมีจุดประสงค์สำคัญสองประการคือ
ประการแรก
.....มุ่งเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอน
และการวิจัยด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การที่เหมาะสมกับประเทศไทย
ประการที่สอง
.....เพื่อ
“จุดประกาย” ให้มีการอภิปรายถกเถียงกันในหมู่นักวิชาการและอาจารย์
เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้แก่วงการจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การของไทย
สำหรับการนำเสนอสาระ
ในส่วนแรกบทความนี้จะกล่าวถึงเป้าหมายของการผลิตบัณฑิตสาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
และในส่วนที่สองจะกล่าวถึงการเรียน การสอน และการวิจัยด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การที่เหมาะสมกับประเทศไทย
เป้าหมายของการผลิตบัณฑิตสาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
.....การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียน
การสอน
และการวิจัยด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การจะไม่มีความสมบูรณ์และได้ทิศทาง
หากขาดการทบทวนและพิจารณาเกี่ยวกับเป้าหมายของการผลิตบัณฑิตในสาขานี้เพราะเป้าหมายคือสิ่งที่มุ่งหวังจะให้ปรากฏเป็นจริงในอนาคตหรือผลลัพธ์
(end
results) ส่วนการเรียน การสอน และการวิจัยคือ วิธีการ (means)
ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ปรารถนานั้นโดยทั่วไปแล้ว
ปรัชญาและเป้าหมายการผลิตบัณฑิตของสถาบันการศึกษาต่างๆ ในระดับอุดมศึกษา
มักจะอยู่ในทำนองที่ว่า “เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรม”
ซึ่งหมายถึงว่า บัณฑิตเหล่านั้นควรจะมีความรู้ ทักษะ ความสามารถ
และบุคลิก
ลักษณะที่ดีและเหมาะสมสำหรับการประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิตเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว
.....ปัญหาก็คือ
ความรู้ ทักษะ ความสามารถ และบุคลิกลักษณะเหล่านั้นคืออะไร? มีลักษณะอย่างไร?
และจะเสริมสร้างพัฒนาได้อย่างไร? สำหรับความรู้
ทักษะ ความสามารถ และบุคลิกลักษณะที่พึงประสงค์
ของบัณฑิตสาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ สามารถกำหนดได้โดยการพิจารณาจากปัจจัยสองประการดังต่อไปนี้คือ
ประการแรก
งานและภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในฐานะนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ และ
ประการที่สอง ความเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มของสังคมไทยในอนาคต
ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดดังต่อไปนี้
งานและภาระหน้าที่ของนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
.....ในสหรัฐอเมริกา
นักจิตวิทยาสาขาต่างๆ รวมทั้งนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ
ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากหน่วยงานต่างๆ และสาธารณชน ในฐานะที่เป็นนักวิชาชีพ
(professional)
ที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมในทุกๆ
ด้านในองค์การธุรกิจหรือหน่วยงานของรัฐจะมีตำแหน่งงานนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กาโดยเฉพาะ
ทั้งนี้อันเนื่องมาจากกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการจ้างงานของสหรัฐอเมริกา (เช่น
the 1964 Civil Right Act, Title VII และฉบับแก้ไขปรับปรุงปี
1991) ได้ห้ามมิให้นายจ้างกีดกันผู้สมัครงาน/ผู้ทำงาน โดยการปฏิเสธการจ้างงานหรือการเลื่อนตำแหน่งอันเนื่องมาจากสีผิว
เชื้อชาติ เพศ ศาสนา ฯลฯ ดังนั้น นายจ้างจึงมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ (burden
of proof) ความเหมาะสมของเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ในการประเมินบุคคล
ซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่นี้ได้ก็คือ นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การนอกจากนี้แล้ว
นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ยังได้รับความยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีความรู้
ความสามารถ และเหมาะสมที่จะทำงานด้านอื่นๆ อีกหลายด้านให้แก่องค์การ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น